ม.มหิดล เตือน! ปชช. อย่าการ์ดตกระวัง โควิด-19 ช่วงฤดูฝน

ม.มหิดล เตือน! ปชช. อย่าการ์ดตกระวัง โควิด-19 ช่วงฤดูฝน

ม.มหิดล เตือนประชาชน ให้มีความระมัดระวัง อย่าการ์ดตกเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 (COVID-19) ช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ฤดูฝน ม.มหิดล, โควิด-19 – วันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดให้เป็น “วันสิ่งแวดล้อมโลก” ซึ่ง 1 ในเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) คือ การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิกาศ (Climate change) ที่มีความแปรปรวนและร้อนขึ้นจนประชากรโลกต้องปรับตัวกันอยู่ตลอดเวลา

ในขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะผู้นำการศึกษาและวิจัยโรคเขตร้อนระดับภูมิภาคเอเชีย โดย อาจารย์ ดร. นายแพทย์สัณฑ์ ม่วงน้อยเจริญ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน ได้แสดงความห่วงใยประชาชนที่ต้องรับมือกับปัญหาวิกฤติ COVID-19 ในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ฤดูฝนว่า

ถึงแม้ยังไม่มีรายงานว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate change) จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 แต่ประชาชนก็ไม่ควร “การ์ดตก”

ซึ่งความเปียกชื้นในช่วงฤดูฝนจะทำให้เชื้อไวรัส COVID-19 อยู่บนพื้นผิวได้นานขึ้น จึงควรระวังมากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดการสัมผัสต่อเชื้อ โดยหลีกเลี่ยงการที่จะต้องไปอยู่ในที่แออัด และไม่ละเลยที่จะล้างมือ และใส่หน้ากากอนามัยป้องกันอยู่เสมอเวลาที่ไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว ทั้งในบ้าน และนอกบ้าน ตลอดจนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกัน

อาจารย์ ดร. นายแพทย์สัณฑ์ ม่วงน้อยเจริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า แต่ละบุคคลมีความจำเป็นและเหมาะสมต่อการเข้ารับการฉีดวัคซีน COVID-19 ที่แตกต่างกัน จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อน ซึ่ง “กลุ่มเสี่ยง” ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง อาทิ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอด โรค NCDs (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง)

รวมถึงกลุ่มที่เป็นโรคอ้วน จะเป็นกลุ่มที่ถ้าติดเชื้อ COVID-19 แล้วจะมีอาการรุนแรง หรือมีภาวะแทรกซ้อนได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป แต่อาจฉีดได้ในรายที่สามารถควบคุมอาการได้ดี

อาจารย์ ดร. นายแพทย์สัณฑ์ ม่วงน้อยเจริญ ได้กล่าวถึงกรณีห้ามฉีดวัคซีน COVID-19 ว่าได้แก่ ผู้ที่มีประวัติการแพ้วัคซีนรุนแรงมาก่อน ซึ่งจะมีอาการหลายระบบ ได้แก่ อาการทางระบบผิวหนัง เช่น ผื่น คัน ลมพิษ ร่วมกับอีกอย่างน้อย 1 อาการระบบ ได้แก่ อาการระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น หน้ามืด หมดสติ ความดันโลหิตต่ำ หรืออาการระบบทางเดินหายใจ เช่น เหนื่อย หายใจมีเสียงหวีด หรืออาการระบบทางเดินอาหาร เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งหากมีประวัติแพ้วัคซีนรุนแรง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด

โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน พร้อมให้บริการประชาชน 

โดยคำนึงถึงการปฏิบัติตามมาตรการรักษาระยะห่างเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่เชื่อมั่นได้ว่าปลอดภัยและได้มาตรฐาน โดยได้มีการจัดระบบการนัดหมายเพื่อลำดับผู้ป่วยที่มาเข้ารับบริการซึ่งจะไม่ทำให้เกิดความแออัด ทั้งบริเวณที่พักคอย ที่รอพบแพทย์ และรอรับยา พร้อมทั้งมีการจัดวางเจลแอลกอฮอล์สำหรับล้างมือฆ่าเชื้อโรคในทุกจุดบริการ

รวมทั้งมีการทำความสะอาดพื้นผิวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปุ่มกด ราวประตู ราวบันได ลิฟท์ หรือบริเวณที่จะต้องมีการสัมผัส ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทุก 1 ชั่วโมง อีกทั้งให้ผู้ที่มารับบริการทุกคนใส่หน้ากากอนามัยป้องกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการจะใส่ทั้งหน้ากากอนามัย และ face shield ด้วย เพื่อเป็นการป้องกันที่เพิ่มขึ้น อาจารย์ ดร. นายแพทย์สัณฑ์ ม่วงน้อยเจริญ กล่าวทิ้งท้าย “สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate change) และฤดูฝนที่กำลังจะเข้ามา ยังมีโรคอื่นๆ ที่ต้องเฝ้าระวังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 คือ โรคไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ หรือโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจอื่นๆ รวมถึงโรคที่เกิดจากอาหารการกิน

ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย อาหารเป็นพิษ และอื่นๆ อีกหลายโรค จึงอยากให้ประชาชนรักษาสุขภาพให้ดี หากมีอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์”

โดยใช้พลังปัญญาของผู้สูงวัยมาแนะนำแนวทางและนโยบายเพื่อสนับสนุนให้เกิดการดูแลตัวเองเพื่อให้ปลอดภัยในช่วงวิกฤติ COVID-19 ตลอดจนจัดอบรมระยะสั้นออนไลน์นานาชาติเพื่อรับมือกับปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ฯลฯ

รองศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ภูดิท เตชาติวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ทุกประเทศทั่วโลกยอมรับว่าการสาธารณสุขมูลฐานเป็นพื้นฐาน และเป็นหลักการสำคัญที่จะทำให้ทุกประเทศทั่วโลกบรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage) และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของโลก

ซึ่งการสาธารณสุขมูลฐานในโลกยุคใหม่ มีความสำคัญโดยถือเป็นเครื่องมือ กลไก และหลักการอันเป็นบันไดขั้นพื้นฐานที่จะทำให้ระบบสุขภาพของทุกประเทศมีความเข้มแข็ง และมีศักยภาพสู่การบรรลุเป้าหมายดังกล่าว

ที่สำคัญที่สุด คือ ทำอย่างไรจึงจะทำให้เกิดการสร้างความร่วมมือของภาคส่วนต่างๆ ให้เกิดเป็นเครือข่ายในการนำพลังของทุกคนมาร่วมมือกันเพื่อให้เกิดการพัฒนาสุขภาพที่นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืนของประชาชนต่อไป

Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป